Page 17 - Ricoh Family
P. 17
RICOH
FEATuRE
7 ทักษะที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์มืออาชีพ
จำาเป็นต้องมีและฝึกให้เชี่ยวชาญ
การเขียนโปรแกรมหรือพัฒนาซอฟต์แวร์นั้นถือเป็นอาชีพในฝันของ
ชาวไอทีหลายคน ซึ่งไม่ได้ต้องการแค่ความรู้ด้านการเขียนโค้ดเท่านั้น แต่ยัง
จ�าเป็นต้องมีพื้นฐานและทักษะทางเทคนิคอื่นๆ ที่ช่วยให้การออกแบบ
และพัฒนาโปรแกรมได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ดังต่อไปนี้
1. ความรู้เกี่ยวกับภาษาโปรแกรมมิ่งในระดับเชี่ยวชาญ
ถือเป็นบันไดก้าวแรกของผู้ที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มี
คุณภาพทุกคนต้องก้าวข้ามให้ได้ เนื่องจากจะไม่มีวันท�างานได้ในระดับมือ
อาชีพถ้าไม่ได้เชี่ยวชาญแม้แต่ภาษาใดภาษาหนึ่ง แต่นี่ย่อมน�าไปสู่ค�าถาม
ยอดฮิตที่ว่า ควรเลือกเรียนรู้ภาษาอะไร (เป็นภาษาแรก) เนื่องจากปัจจุบัน
มีภาษาเกิดใหม่รวมทั้งภาษาสุดคลาสสิกแต่ยังคงความนิยมให้เลือกอยู่เป็น ด้านรูปแบบข้อมูลที่แตกต่างกัน ในฐานะนักเขียนโปรแกรมแล้ว จ�าเป็นต้อง
จ�านวนมาก ท�าให้เป็นการยากที่ตัดสินใจเลือกภาษาในการทุ่มเทศึกษาเรียนรู้ ทราบว่าเมื่อไรถึงจ�าเป็นต้องใช้อัลกอริทึมไหน รวมทั้งควรเขียนอัลกอริทึม
และเป็นเหตุผลที่ท�าให้คนส่วนใหญ่นิยมเลือกเรียนพร้อมกันหลายภาษาเพื่อ ในรูปแบบของตัวเองเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะอย่างที่เผชิญได้ด้วย นอกจากนี้ยัง
กระจายความเสี่ยงในการน�าไปใช้ประกอบอาชีพ แต่ถ้าพูดถึงวิธีที่ง่ายที่สุด ควรเรียนโครงสร้างข้อมูลรูปแบบต่างๆ พร้อมกับวิธีในการจัดการข้อมูล ไม่ว่า
ในการเรียนภาษาโปรแกรมมิ่งแล้ว แนะน�าเริ่มจากศึกษาภาษาเดียวให้ จะเป็นข้อมูลแบบแฮช, ลิงค์, เวกเตอร์, ทรี, เซ็ต เป็นต้น
เชี่ยวชาญถึงที่สุดก่อนที่จะเริ่มหันไปศึกษาภาษาอื่น
5. การใช้แพลตฟอร์มสำาหรับพัฒนาโปรแกรม
2. การออกแบบที่อิงการใช้อ๊อพเจ็กต์อ้างอิงหรือ แพลตฟอร์มส�าหรับพัฒนาซอฟต์แวร์นั้นหมายถึงสภาพแวดล้อมที่
Object-Oriented แอปพลิเคชันที่ต้องการพัฒนาจะต้องท�างานด้วย ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มต่างมี
เป็นทักษะที่นักเขียนโปรแกรมมือใหม่มักละเลย แต่ถ้ารักที่จะเป็น ฟีเจอร์จ�าเพาะที่รองรับซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นแตกต่างกัน ดังนั้นในฐานะ
นักพัฒนาซอฟต์แวร์มืออาชีพแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องฝึกตัวเอง นักพัฒนาโปรแกรม ก็ควรเชี่ยวชาญเกี่ยวกับรูปแบบข้อมูลที่เข้าและออก
ให้เป็นมืออาชีพด้านการออกแบบตามหลัก Object-Oriented ที่ช่วยเปลี่ยน บนแพลตฟอร์มแต่ละชนิด เช่น ถ้าต้องการพัฒนาแอปพลิเคชันบนโอเอส
โปรแกรมที่มีโค้ดยาวต่อเนื่องและซับซ้อนให้อยู่ในคลาสและอ๊อพเจ็กต์ย่อยๆ ที่เป็นวินโดวส์ก็จ�าเป็นต้องเข้าใจเกี่ยวกับฟีเจอร์บนระบบปฏิบัติการทั้งหมด
ที่มีการจัดโครงสร้างไว้เป็นระเบียบ โดยแต่ละคลาสและอ๊อพเจ็กต์ควรเป็นโค้ด เนื่องจากในช่วงเวลาที่ประกอบอาชีพเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์นั้นก็มักจะ
กลางที่มีบทบาทจ�าเพาะแตกต่างกันส�าหรับน�ามาใช้อ้างอิงหรือลิงค์ได้อย่าง ท�าแอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์มไม่กี่แพลตฟอร์มซ�้าๆ ไปเรื่อยๆ ดังนั้น
สะดวกและมีประสิทธิภาพ ท�าให้นอกจากท�าให้การพัฒนาต่อยอดท�าได้ง่าย การเชี่ยวชาญทั้งเครื่องมือและเฟรมเวิร์กที่จ�าเพาะกับโอเอสแต่ละตัวจึงส�าคัญ
และไม่ซับซ้อนโดยเฉพาะในโปรแกรมขนาดใหญ่แล้ว ยังช่วยประหยัดเนื้อที่ เป็นอย่างยิ่ง
และหน่วยความจ�าในการประมวลผลด้วย เนื่องจากไม่ต้องเขียนโค้ดชุดซ�้าๆ
ในแต่ละไฟล์อย่างพร�่าเพรื่อจนเปลืองเนื้อที่ และเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาด 6. ความรู้เกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
สิ่งหนึ่งที่นักพัฒนาโปรแกรมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้คือเรื่องของ
3. การวางโครงสร้างของโค้ด ฐานข้อมูล ไม่ว่าจะเอาดีกับภาษาโปรแกรมมิ่งไหนก็ตาม ก็มักจ�าเป็นต้อง
ทั้งนักพัฒนาซอฟต์แวร์และวิศวกรซอฟต์แวร์ควรมีทักษะในการวาง ยุ่งเกี่ยวกับฐานข้อมูลสารพัดแบบอยู่ดีตลอดช่วงเวลาที่ประกอบอาชีพเป็น
โครงสร้างของโค้ดอย่างเหมาะสมส�าหรับแต่ละภาษา เพื่อให้ได้โค้ดที่สะอาด นักพัฒนาซอฟต์แวร์ จึงเป็นสาเหตุที่นักพัฒนาจ�าเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียน
และชัดเจน ง่ายต่อการท�าความเข้าใจ ซึ่งไม่เพียงมีประโยชน์ต่อคนอื่นที่มา รู้และท�าความเข้าใจเทคโนโลยีด้านฐานข้อมูลรูปแบบต่างๆ และนอกจาก
อ่านโค้ดเท่านั้น ตัวคนเขียนเองก็ได้ประโยชน์ด้วย เนื่องจากโค้ดที่อ่านง่าย รู้เกี่ยวกับชนิดของดาต้าเบสแล้ว ยังควรที่จะสามารถจัดการงานพื้นฐาน
มีการจัดโครงสร้างเป็นระเบียบนั้นช่วยอ�านวยความสะดวกและเปิดทางในการ บนฐานข้อมูลได้ด้วย เช่น การสร้างฐานข้อมูล และบริหารจัดการข้อมูลภายใน
ท�างานร่วมกับคนอื่นเป็นทีมได้ง่าย ฐานข้อมูลดังกล่าว
4. ความรู้ด้านโครงสร้างข้อมูล และอัลกอริทึมการ 7. ทักษะการใช้เฟรมเวิร์ก
ประมวลผล แค่เรียนรู้เกี่ยวกับภาษาเขียนโปรแกรมนั้นไม่พอ ยังต้องก้าวน�าหน้าคู่แข่ง
ทั้งโครงสร้างและอัลกอริทึมในการประมวลผลข้อมูลนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ต้อง ด้วยการเรียนรู้วิธีการใช้เฟรมเวิร์กด้วย ซึ่งเฟรมเวิร์กเป็นชุดไลบรารีส�าหรับ
เผชิญตั้งแต่เรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ หรือหลักสูตรไอทีอื่นๆ น�ามาใช้พัฒนาแอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์มที่แตกต่างกันได้ ช่วยอ�านวย
ในมหาวิทยาลัยแล้ว อัลกอริทึมถือเป็นวิธีและกลไกในการแก้ปัญหาทาง ความสะดวกในการเขียนโค้ด โปรแกรมเมอร์ควรศึกษาเฟรมเวิร์กสัก 1–2 ตัว
เทคนิคที่ต้องการ โดยเฉพาะในการเขียนโปรแกรม ซึ่งมีหลากหลายอัลกอริทึม ที่จ�าเพาะกับภาษาโปรแกรมมิ่งที่ตนเองใช้งาน l
ที่ควรเรียนรู้ไว้ เนื่องจากแต่ละอัลกอริทึมต่างมีคุณสมบัติเฉพาะตัว และใช้แก้
ปัญหาคนละจุด เช่น ด้านความเร็ว, การจัดการหน่วยความจ�า, หรือมีข้อจ�ากัด ที่มา : Technotification
www.ricoh.co.th
17